บุญบั้งไฟ เป็นประเพณีหนึ่งของภาคอีสานของไทยรวมไปถึงลาว โดยมีตำนานมาจากนิทานพื้นบ้านของภาคอีสานเรื่องพระยาคันคาก เรื่องผาแดงนางไอ่ ซึ่งในนิทานพื้นบ้านดังกล่าวได้กล่าวถึง การที่ชาวบ้านได้จัดงานบุญบั้งไฟขึ้นเพื่อเป็นการบูชา พระยาแถน หรือเทพวัสสกาลเทพบุตร ซึ่ง ชาวบ้านมีความเชื่อว่า พระยาแถนมีหน้าที่คอยดูแลให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล และมีความชื่นชอบไฟเป็นอย่างมาก หากหมู่บ้านใดไม่จัดทำการจัดงานบุญบั้งไฟบูชา ฝนก็จะไม่ตกถูกต้องตามฤดูกาล อาจก่อให้เกิดภัยพิบัติกับหมู่บ้านได้ โดยทั้งนี้การจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ ของ จังหวัดยโสธร ได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในการประชาสัมพันธ์งานประเพณี เป็นที่รู้จักแก่ชาวไทย และต่างประเทศ นับแต่ ปี 2515 ซึ่ง งานประเพณีบุญบั้งไฟจังหวัดยโสธร จะจัดขึ้นในวันเสาร์ อาทิตย์ สัปดาห์ที่สอง ของเดือนพฤษภาคม ในทุกปี โดยทั้งนี้ ในงานที่จัดของจังหวัดยโสธร ยังมีความโดดเด่น ในวันก่อนแห่ มีการประกวดกองเชียร์ จำนวนมาก รวมทั้ง วันแห่บั้งไฟ จะมีขบวนบั้งไฟแบบโบราณ และการรำเซิ้งแบบโบราณ จาก ทั้ง 9 อำเภอของจังหวัดยโสธร เข้าร่วมด้วย นอกจากนี้ ยังพบว่า การจัดงานบั้งไฟในอดีต และปัจจุบัน ในพื้นที่ จังหวัดร้อยเอ็ด มีความโดดเด่น และเก่าแก่ มานาน มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะ ที่ อำเภอสุวรรณภูมิ ที่มีการจัดงาน ในทุกวันเสาร์ อาทิตย์ ในสัปดาห์แรก ของเดือนมิถุนายนในทุกปี ซึ่งเป็นงานที่มี บั้งไฟเอ้สวยงามขนาดใหญ่ (ลายศรีภูมิ หรือ ลายกรรไกรตัด) รวมทั้งขบวนรำสวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ , อำเภอพนมไพร ที่ มีการจัดงาน ในทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 ของทุกปี ตามรูปแบบประเพณีดั้งเดิม ตาม ฮีตสองสอง คองสิบสี่ โดยมีการจุดบั้งไฟถวาย มากที่สุดในประเทศ โดยในแต่ละปี จะมีบั้งไฟหมื่น บั้งไฟแสน บั้งไฟล้าน รวมกันกว่า 1,000 บั้ง
ทั้งนี้ จากข้อมูลในปัจจุบัน แหล่งที่มีช่างในการจัดทำ บั้งไฟเอ้ ตกแต่งสวยงามมากที่สุด คือ จังหวัดร้อยเอ็ด โดยเฉพาะ อำเภอเสลภูมิ, อำเภอธวัชบุรี, อำเภออาจสามารถ, อำเภอสุวรรณภูมิ, อำเภอจตุรพักตร์พิมาน เป็นต้น, ส่วนค่ายบั้งไฟ ที่มีการทำบั้งไฟจุด พบได้จำนวนมาก ในเขตอำเภอพนมไพร จังหวัดร้อยเอ็ด, อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร และ เขตจังหวัดอื่น ๆ ทางอีสานเหนือ ได้แก่อุดรธานี หนองคาย เป็นต้น
นอกจากนี้แล้วในพื้นที่ภาคเหนือ มีการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ ของ ตำบลพุเตย อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ จัดงานประเพณีบุญบั้งไฟที่ยิ่งใหญ่ โดยการสนับสนุนของ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ เช่นกัน ทั้งนี้ เนื่องจากประชากรในเขตพื้นที่ ส่วนใหญ่ อพยพมาจาก เขตภาคอีสาน ในหลายสิบปีก่อนหน้า ส่วนภาคใต้ ยังสามารถพบการจัดงานบุญบั้งไฟ ในเขตอำเภอสุคิรินจังหวัดนราธิวาส โดยเป็นการละเล่นของชาวอีสานที่ย้ายถิ่นฐานมาปักหลักทีนี่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 โดยถือเป็นเพียงพื้นที่เดียวในภาคใต้ของไทย นอกจากภาคอีสานที่มีการเล่นประเพณีนี้[1]
และนอกจากนี้ในพื้นที่ภาคเหนือ ก็มีการละเล่นประเพณีบุญบั้งไฟเช่นเดียวกัน โดยเป็นหนึ่งในประเพณีของล้านนา โดยมีความเชื่อคล้ายกับภาคอีสาน คือ เป็นการถวายเป็นพุทธบูชาและขอฝน[2]
เนื้อหา
[ซ่อน]ความเชื่อของชาวบ้านกับประเพณีบุญบั้งไฟ[แก้]
ชาวบ้านเชื่อว่ามีโลกมนุษย์ โลกเทวดา และโลกเทวดา มนุษย์อยู่ใต้อิทธิพลของเทวดา การรำผีฟ้าเป็นตัวอย่างที่แสดงออกทางด้านการนับถือเทวดา และเรียกเทวดาว่า “แถน” เมื่อถือว่ามีแถนก็ถือว่า ฝน ฟ้า ลม เป็นอิทธิพลของแถน หากทำให้แถนโปรดปราน มนุษย์ก็จะมีความสุข ดังนั้นจึงมีพิธีบูชาแถน การจุดบั้งไฟก็อาจเป็นอีกวิธีหนึ่งที่แสดงความเคารพหรือส่งสัญญาณความภักดีไปยังแถน ชาวอีสานจำนวนมากเชื่อว่าการจุดบั้งไฟเป็นการขอฝนจากพญาแถน และมีนิทานปรัมปราเช่นนี้อยู่ทั่วไป แต่ความเชื่อนี้ยังไม่พบหลักฐานที่แน่นอน นอกจากนี้ในวรรณกรรมอีสานยังมีความเชื่ออย่างหนึ่งคือ เรื่องพญาคันคาก หรือคางคก พญาคันคากได้รบกับพญาแถนจนชนะแล้วให้พญาแถนบันดาลฝนลงมาตกยังโลกมนุษย์ ความหมายของบั้งไฟ คำว่า “บั้งไฟ” ในภาษาถิ่นอีสานมักจะสับสนกับคำว่า “บ้องไฟ” แต่ที่ถูกนั้นควรเรียกว่า”บั้งไฟ”ดังที่ เจริญชัย ดงไพโรจน์ ได้อธิบายความแตกต่างของคำทั้งสองไว้ว่า บั้งหมายถึง สิ่งที่เป็นกระบอก เช่น บั้งทิง สำหรับใส่น้ำดื่ม หรือบั้งข้าวหลาม เป็นต้น
ส่วนคำว่า บ้อง หมายถึง สิ่งของใด ๆ ก็ได้ที่มี 2 ชิ้น มาสวมหรือประกอบเข้ากันได้ ส่วนนอกเรียกว่า บ้อง ส่วนในหรือสิ่งที่เอาไปสอดใสจะเป็นสิ่งใดก็ได้ เช่น บ้องมีด บ้องขวาน บ้องเสียม บ้องวัว บ้องควาย ดังนั้น คำว่า บั้งไฟ ในภาษาถิ่นอีสานจึงเรียกว่า บั้งไฟ ซึ่งหมายถึงดอกไม้ไฟชนิดหนึ่ง มีหางยาวเอาดินประสิวมาคั่วกับถ่านไม้ตำให้เข้ากันจนละเอียดเรียกว่า หมื่อ (ดินปืน) และเอาหมื่อนั้นใส่กระบอกไม้ไผ่ตำให้แน่นเจาะรูตอนท้ายของบั้งไฟ เอาไผ่ท่อนอื่นมัดติดกับกระบอกให้ใส่หมื่อโดยรอบ เอาไม้ไผ่ยาวลำหนึ่งมามัดประกบต่อออกไปเป็นหางยาว สำหรับใช้ถ่วงหัวให้สมดุลกัน เรียกว่า “บั้งไฟ” ในทัศนะของผู้วิจัย บั้งไฟ คือการนำเอากระบอกไม้ไผ่ เลาเหล็ก ท่อเอสลอน หรือเลาไม้อย่างใดอย่างหนึ่งมาบรรจุหมื่อ (ดินปืน) ตามอัตราส่วนที่ช่างกำหนดไว้แล้วประกอบท่อนหัวและท่อนหางเป็นรูปต่าง ๆ ตามที่ต้องการ เพื่อนำไปจุดพุ่งขึ้นสู่อากาศ จะมีควันและเสียงดัง บั้งไฟมีหลายประเภท ตามจุดมุ่งหมายของประโยชน์ในการใช้สอย
ประวัติบั้งไฟและความเป็นมา[แก้]
ภูมิปัญญาเทคโนโลยีสุดล้ำยุคนี้เป็นของชนเผ่าไทยตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศสาต์ บั้งไฟ เป็นจรวดโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาเทคโนโลยีล้ำยุคของชนเผ่าไทที่คิดค้นขึ้นมาไม่ต่ำกว่า 5,000 ปี ก่อนจะแยกย้ายมาเป็นเผ่าต่าง ๆ จุดมุ่งหมายในการทำบั้งไฟนั้น เพื่อใช้ในประเพณีขอฝน ซึ่งปรากฏจากหลักฐานการจุดบั้งไฟ เพื่อใช้ในประเพณีขอฝนของชนเผ่าไท มีหลักฐานปรากฏการจุดบั้งไฟขอฝนในเผ่าไทลื้อ ไท-ยวน ไทพวน ไทอีสาน ไทดำ ไทแดง ไทครั้ง และอื่น ๆ อีกมากมาย
ประเพณีการจุดบั้งไฟของชาวไทลื้อแห่งอาณาจักรสิบสองปันนาว่า ชาวไทลื้อมีภูมิลำเนาดั้งเดิมอยู่ที่แคว้นสิบสองปันนามาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ โดยพบหลักฐานว่า ตั้งแต่สมัยราชวงศ์เจ้า ไม่ต่ำกว่า 3,000 ปี ดังนั้น การจุดบั้งไฟจึงเป็นภูมิปัญญาก่อนประวัติศาสตร์ของชาวไทลื้อแห่งอาณาจักรสิบสองปันนา ในมณฑลยูนนาน ก่อนที่จะอพยพมาอยู่ในประเทศไทย
ชาวไทลื้อจะนิยมเรียกบั้งไฟว่า **บอกไฟขึ้น** วัตถุประสงค์ในการจุดบอกไฟขึ้น (ฟ้า) เพื่อบูชาพระอินทร์ หรือพระยาแถน ขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ซึ่งจะทำในช่วงเทศกาลสงกรานต์ นอกจากนั้น ชาวไทลื้อยังจุดบอกไฟดอก (ดอกไม้ไฟ) ในงานบุญ เช่น งานฉลองที่วัด งานเทศน์มหาชาติ งานผ้าป่า กฐิน จุลกฐิน ฯลฯ
ส่วนประเพณีการจุดบอกไฟของไท-ยวนแห่งอาณาจักรล้านนา อาจารย์อรไทเล่าว่า ชาวไท-ยวน เป็นชนเผ่าไทเมืองหรือไทมุง ที่อพยพมาจากอาณาจักรไทเดิม ในมณฑลยูนนานไม่ต่ำกว่า 2,000 ปีมาแล้ว ได้ก่อตั้งอาณาจักรโยนกนครขึ้นบริเวณลุ่มน้ำโขง ดังนั้น การจุดบอกไฟจึงเป็นประเพณีโบราณของชนเผ่าไท-ยวนมาตั้งแต่อาณาจักรไทเมืองไม่ต่ำกว่า 5,000 ปีมาแล้ว ก่อนที่จะอพยพมาตั้งอาณาจักรโยนกนคร เมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อน ชาวไท-ยวนจะเรียกว่า บอกไฟขึ้น เช่นเดียวกับไทลื้อ และเมื่อทำบอกไฟแล้วจะนำไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพุทธที่วัดเรียกว่า การประเคนบั้งไฟ อีกทั้งจะมีการแต่งเพลงที่ใช้เซิ้งบอกไฟ และมีการแห่เซิ้งบอกไฟไปที่ก้าง (ค้าง) บอกไฟ ที่ทำเป็นเสาสูงใช้ไม้ตีเป็นบันไดสูงขึ้นไป เพื่อติดตั้งบอกไฟให้สูงเวลาจุดจะได้ส่งให้บอกไฟขึ้นสูงยิ่งขึ้น ปัจจุบันชาวไท-ยวน ที่ อำเภอลอง จ.แพร่ ยังคงสืบทอดการจุดบอกไฟนี้ประเพณีเช่นเดิม
ส่วนประเพณีบุญบั้งไฟของชาวไทถิ่นอีสานแห่งอาณาจักรล้านช้างนี้ ชาวไทถิ่นอีสาน เป็นชนเผ่าไทลาวมีประวัติความเป็นมาที่เก่าที่สุด "เตอร์เรียน เดอ ลาคูเปอรี" ศาสตราจารย์ชาวอังกฤษ ประจำมหาวิทยาลัยลอนดอน ผู้เชี่ยวชาญทางภาษาศาสตร์ของอินโดจีนระบุว่า ชนเผ่าไทมีภูมิลำเนาดั้งเดิมอยู่ตอนกลางของประเทศจีน ระหว่างแม่น้ำฮวงโหและแม่น้ำแยงซีเกียง บริเวณหุบเขาระหว่างแคว้นเสฉวนกับแคว้นเชนซี (เซียมไซ) โดยพบหลักฐานการกล่าวถึงอาณาจักรไทเมืองของชนชาติอ้ายลาว มาตั้งแต่ 4,200 ปีมาแล้ว ซึ่งชนชาติอ้ายลาวเป็นชาวพื้นเมืองดั้งเดิมของประเทศจีน ก่อนที่พวกจีนฮั่นจะอพยพมาจากทางเหนือ
ซึ่งประเพณีบุญบั้งไฟดั้งเดิมของชนเผ่าอ้ายลาว ก่อนที่จะอพยพลงมาตั้งอาณาจักรล้านช้างบนฝั่งแม่น้ำโขงนั้น ชาวอีสานมีตำนานความเชื่อเกี่ยวกับบุญบั้งไฟ ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่เก่าแก่มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ เช่น ตำนานพระยาคันคาก ตำนานท้าวผาแดง นางไอ่ เป็นต้น ประเพณีจุดบั้งไฟจะทำในเดือนหก ถ้าฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล ชาวอีสานจะจุดบั้งไฟเพื่อบูชาและส่งสัญญาณเตือนพระยาแถนหรือวัสสการเทวดา (เทวดาแห่งฝน) ผู้ชอบการบูชาด้วยไฟ เพื่อดลบันดาลให้ฝนตกเพื่อมีน้ำฝนในการทำนาทำไร่
ในส่วนของชาวไทพวนแห่งอาณาจักรล้านช้างก็มีประเพณีจุดบั้งไฟเช่นเดียวกัน ซึ่งชาวไทพวนเป็นกลุ่มคนไทที่อพยพมาจากเมืองพวนทางตอนใต้ของหลวงพระบาง แขวงเชียงขวาง ประเทศลาว มาตั้งแต่ พ.ศ. 2370 ในสมัยรัชกาลที่ 3 มาตั้งถิ่นฐานอยู่หลายจังหวัด ที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์การจุดบั้งไฟ คือ ที่บ้านหาดเสี้ยว อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย ชาวไทพวนจะจุดบั้งไฟในวันวิสาขบูชาของทุกปี เพื่อบูชาพระยาแถนขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล หรือเป็นการบอกพระภูมิที่นาว่าถึงเวลาทำนาทำไร่แล้ว
นอกจากนี้ชาวผู้ไทแห่งอาณาจักรสิบสองเจ้าไท ซึ่งเมื่อก่อนมีภูมิลำเนาก่อนประวัติศาสตร์อยู่ที่เมืองแถง (เมืองน้ำน้อยอ้อยหนู) แคว้นสิบสองเจ้าไท ภายหลังเมืองน้ำน้อยอ้อยหนูแห้งแล้ง จึงอพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่เมืองวังในเขตเวียงจันทน์ จนถึงสมัยรัชกาลที่ 3 เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ ฝ่ายไทยปราบปรามได้ จึงได้กวาดต้อนชาวเวียงจันทน์รวมทั้งชาวผู้ไทยมาอยู่ฝั่งขวาแม่น้ำโขง ในจังหวัดนครพนม มุกดาหาร สกลนคร อุดรธานี และกาฬสินธุ์
ประเพณีบุญบั้งไฟก่อนประวัติศาสตร์ของชาวผู้ไท มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่เมืองแถง แคว้นสิบสองเจ้าไท ซึ่งปรากฏหลักฐานในตำนานเรื่องท้าวผาแดง นางไอ่ มาตั้งแต่โบราณ จุดประสงค์ของประเพณีบุญบั้งไฟนั้นนอกจากจะเป็นพิธีกรรมบูชาพระยาแถนเพื่อขอฝนแล้ว ยังเป็นการบูชาพระธาตุเกศแก้วจุฬามณีบนสวรรค์ซึ่งจะทำกันในเดือนหก เพื่อขอฝนให้ตกลงมาทันการเพาะปลูกข้าวกล้า[3]
ส่วนประกอบของบั้งไฟ[แก้]
- เลาบั้งไฟ เลาบั้งไฟคือส่วนประกอบที่ทำหน้าที่บรรจุดินปืน มีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอกกลมยาว มีความยาวประมาณ 1.5 - 7 เมตร ทำด้วยลำไม้ไผ่แล้วใช้ริ้วไม้ไผ่ (ตอก) ปิดเป็นเกลียวเชือกพันรอบเลาบั้งไฟอีกครั้งหนึ่งให้แน่น และใช้ดินปืนที่ชาวบ้านเรียกว่า"หมื่อ" อัดให้แน่นลงไปในเลาบั้งไฟ ด้วยวิธีใช้สากตำแล้วเจาะรูสายชนวน เสร็จแล้วนำเลาบั้งไฟ ไปมัดเข้ากับส่วนหางบั้งไฟ ในสมัยต่อมานิยมนำวัสดุอื่นมาใช้เป็นเลาบั้งไฟแทนไม้ไผ่ ได้แก่ ท่อเหล็ก ท่อพลาสติก เป็นต้น เรียกว่าเลาเหล็กซึ่งสามารถอัดดินปืนได้แน่นและมีประสิทธิภาพในการยิงได้สูงกว่า
- หางบั้งไฟ หางบั้งไฟถือเป็นส่วนสำคัญทำหน้าที่คล้ายหางเสือ ของเรือคือสร้างความสมดุลให้กับบั้งไฟคอยบังคับทิศทางบั้งไฟให้ยิงขึ้นไปในทิศทางตรงและสูง บั้งไฟแบบเดิมนั้น ทำจากไม้ไผ่ทั้งลำ ต่อมาพัฒนาเป็นหางท่อนเหล็กและหางท่อนไม้ไผ่ติดกันหางท่อนเหล็กมีลักษณะเป็นท่อนกลม ทรงกระบอกมีความยาวประมาณ 8-12 เมตร ทำหน้าที่เป็นคานงัดยกลำตัวบั้งไฟชูโด่งชี้เอียงไปข้างหน้าทำมุมประมาณ 30-40 องศากับพื้นดิน โดยบั้งไฟจะยื่นไปข้างหน้ายาวประมาณ 7-8 เมตร ปลายหางด้านหนึ่งตั้งอยู่บนฐานที่ตั้งบั้งไฟ
- ลูกบั้งไฟ เป็นลำไม้ไผ่ที่นำมาประกอบเลาบั้งไฟโดยมัดรอบลำบั้งไฟ บั้งไฟลำหนึ่งจะประกอบด้วยลูกบั้งไฟประมาณ 8-15 ลูก ขึ้นอยู่กับขนาดของบั้งไฟ เดิมลูกบั้งไฟมีแปดลูกมีชื่อเรียกเรียงตามลำดับคู่ขนาดใหญ่ไปหาคู่ที่มีขนาดเล็กกว่าได้แก่ ลูกโอ้ ลูกกลาง ลูกนางและลูกก้อย ลูกบั้งไฟช่วยให้รูปทรงของบั้งไฟกลมเรียวสวยงาม นอกจากนี้ลูกบั้งไฟยังเป็นพื้นผิวรองรับการเอ้หรือการตกแต่งลวดลายปะติดกระดาษ ( โดยที่นิยมทั่วไป คือ ลายสับ ส่วนที่เป็นเอกลักษณ์เพียงหนึ่งเดียวที่มีการกำหนดมาตรฐาน ลายกรรไกรตัด ในประเทศไทย คือ "ลายศรีภูมิ" พบมีการทำในเขตอำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด )
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น